พระคัมภีร์เพียงพอสำหรับชีวิตคริสเตียนจริงหรือ?
ในปัจจุบันนี้ ถ้าคุณเดินเข้าไปในคริสตจักรอีแวนเจลิคอลหรือคริสตจักรเพนเทคอส คุณแทบจะไม่พบศิษยาภิบาลหรือผู้นำคริสตจักรคนไหนที่จะปฏิเสธสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์นั้นได้เป็นรากฐานความเชื่ออันเข้มแข็งในคริสตจักรโปรแตสแตนท์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 หลังจากที่นักปฏิรูปศาสนาอย่างเช่น มาร๋ติน ลูเธอร์ และ จอห์น คาลวิน ได้ย้ำเตือนอีกครั้งถึงสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ที่ต้องอยู่เหนือคำสอนของสันตะปาปาและธรรมเนียมต่างๆของคริสตจักร พวกเขาเชื่อใน Sola Scriptura ซึ่งเป็นสำนวนภาษาละติน ที่มีความหมายว่า “พระคัมภีร์เท่านั้น” พระคัมภีร์เท่านั้นที่มีสิทธิอำนาจและมีความเพียงพอสำหรับการสอนและการนำในการดำเนินชีวิตคริสเตียน
อย่างไรก็ตาม เรื่องสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Sola Scriptura เท่านั้น อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญใน Sola Scriptura ก็คือ การที่พระคัมภีร์เพียงพอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและการดำเนินชีวิตคริสเตียน คริสตจักรหลายแห่งอาจจะยืนยันถึงสิทธิอำนาจสูงสุดของพระคัมภีร์ แต่ถ้าคุณมองที่เนื้อหาของคำเทศนาของคริสตจักรบางแห่งแล้ว จะเห็นว่า พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางหรือเป็นส่วนสำคัญในเนื้อหาคำเทศนาเลย เนื้อหาสำคัญของคำเทศนาคือ เรื่องเล่าจากชีวิตประจำวัน หลักจิตวิทยา, เทคนิคในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ,เคล็ดลับในการดำเนินชีวิต คำพยากรณ์สดที่นัำกเทศนาพึ่งได้รับจากพระวิญญาณ หรือ เป็นถ้อยคำแห่งความรู้ แล้วแต่ว่าขณะที่นักเทศน์เตรียมคำเทศนาในคืนวันเสาร์จะมีความคิดอะไรที่รู้สึกว่าจะดึงดูดใจผู้ฟัง พระคัมภีร์ได้กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการให้คำปรึกษา และถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนความคิดที่ได้มาจากแหล่งอื่น สำหรับนักเทศน์หลายๆท่าน พระคัมภีร์เป็นแค่เพียงที่มาของแรงบันดาลใจและใช้พระคัมภีร์ในการเริ่มต้นเทศนาเท่านั้น แต่ทิศทางและเนื้อหาของคำเทศนาไม่ได้ถูกกำหนดโดยพระคัมภีร์เลย ไม่มีใครออกมาพูดอะไรในเรื่องนี้แต่เหมือนกับว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าการที่จะสอนแต่พระคัมภีร์นั้นไม่เพียงพอสำหรับการช่วยคนให้เติบโตขึ้นในพระคริสต์หรือช่วยให้เขาสามารถเผชิญกับอุปสรรคต่างๆในโลกสมัยใหม่นี้ได้
พระคัมภีร์เพียงพอสำหรับชีวิตคริสเตียนจริง ๆ หรือ หรือว่าเราจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งอื่นมาเพิ่มเติมเพื่อให้คนของพระเจ้าจะได้รู้จักพระองค์และรู้ว่าพระเจ้าปรารถนาให้เราทำอะไร ในการที่จะตอบคำถามเหล่านั้น คำถามที่เราต้องตอบก่อนคือ “เพียงพอสำหรับอะไร” สำหรับเรา คำว่าเพียงพอหมายความว่าอย่างไรและอะไรคือขีดจำกัดของการเพียงพอนั้น เนื่องจากพระคัมภีร์คือสิทธิอำนาจสูงสุดในชีวิตของเรา เราจึงควรจะดูว่าพระคัมภีร์เองพูดอย่างไรในเรื่องความเพียงพอของพระคัมภีร์
พระคัมภีร์สอนเราเกี่ยวกับความเพียงพอของพระคัมภีร์อย่างไรบ้าง
ประการแรก เราได้เรียนรู้ว่าเนื้อหาในพระคัมภีร์เป็นประโยชน์ในการพัฒนาคนของพระเจ้าเพื่อการดี ไม่ใช่เพียงบางอย่างเท่านั้น แต่เป็นการดีทุกอย่าง “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถและพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง” (2 ทิโมธี 3: 16-17 )
อีกนัยหนึ่งก็คือ พระคัมภีร์ชี้ให้เราเห็นและพัฒนาเราในทุกด้านเพื่อเราจะเชื่อฟังและรับใช้พระเจ้า พระคัมภีร์เองเป็นสิ่งที่ระบุไว้ว่าเราจะต้องเชื่อและปฏิบัติอะไรบ้างในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน และเราต้องดูที่พระคัมภีร์เพื่อที่จะรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใดและพระองค์ประสงค์อะไรจากชีวิตของเรา ไม่ใช่ค้นหาจากแหล่งอื่น ดังเช่นที่เปโตรได้กล่าวเอาไว้ในจดหมายของเขา “ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ให้ทุกสิ่งแก่เรา ที่จำเป็นต่อชีวิตและต่อการดำเนินตามทางพระเจ้า โดยการรู้จักพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและคุณธรรมของพระองค์เอง” (2 เปโตร 1:3)
มีใจความสำคัญอีกบางประการจากข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ ที่กำลังชี้ให้เห็นถึงความเพียงพอของพระคัมภีร์ ประการแรกคือ เราสังเกตได้จากข้อนี้ว่า พระเจ้าได้ทรงให้ทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการดำเนินตามทางของพระเจ้า ซึ่งสิ่งนี้เองที่เป็นขอบเขตของคำว่าความเพียงพอของพระคัมภีร์ เนื้อหาในพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ แต่ทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับ “ชีวิตและการดำเนินตามทางพระเจ้า” ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ พระคัมภีร์มีคำแนะนำที่เพียงพอในการสอนให้เราดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์, และถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระคัมภีร์สามารถสอนสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้กับเราได้อย่างไร คือ โดยผ่านทาง “ความรู้เรื่องของพระองค์” คือผ่านทางพระเยซูคริสต์ กุญแจของชีวิตคริสเตียนคือการรู้จักพระเยซูคริสต์ มีคนมากมายที่พูดถึงพระเยซูคริสต์และเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระเยซู แต่แหล่งเดียวที่ไม่มีข้อผิดพลาดและไร้ตำหนิคือพระคัมภีร์ มีคนมากมายที่อยากได้ยินพระสุรเสียงจากพระเจ้า และอยากที่จะรู้ว่าพระองค์ทรงต้องการตรัสอะไรกับพวกเขาวันนี้ แต่อย่างที่มาร์ติน ลูเธอร์เคยกล่าวไว้ว่า “ให้คนที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์”
พระคัมภีร์ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าพระคัมภีร์คือที่ที่เราจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า เพราะพระคัมภีร์เป็นที่ที่พระบุตรได้ถูกเปิดเผย ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูได้เริ่มต้นจดหมายของเขาด้วยข้อความเหล่านี้ “นานมาแล้วพระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราหลายครั้ง และหลายวิธีผ่านทางผู้เผยพระวจนะ แต่ในวาระสุดท้ายนี้ พระองค์ตรัสกับเราทางพระบุตร” (ฮีบรู 1:1-2)
ถ้าเราอยากรู้จักพระเจ้าและรู้ว่าพระองค์ทรงประสงค์สิ่งใดจากเรา และถ้าความรู้ของพระคริสต์เป็นกุญแจสู่ชีวิตและการดำเนินตามทางของพระเจ้า และพระคัมภีร์เป็นการทรงสำแดงพระคริสต์อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ทำไมเราจงจะต้องการหาจากที่อื่นเล่า? ถ้าพระคริสต์ถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์แบบในพระคัมภีร์ ทำไมเราต้องการแสวงหาพระเจ้าในที่อื่นนอกเหนือจากพระคัมภีร์? ทำไมเราจะให้สิ่งอื่นกลายเป็นสิ่งสำคัญและเป็นศูนย์กลางของการสอนหรือการเทศนาในคริสตจักรแทนพระคัมภีร์เล่า?
แต่อย่างไรก็ตาม เรายังมีความจำเป็นที่ต้องเพิ่มคุณสมบัติบางอย่างเข้าไปในความเพียงพอของพระคัมภีร์ ใน “The Case for Traditional Protestantism: the Solas of the Reformation,” เทอรี่ จอห์นสันชี้ให้เห็นว่า “พระคัมภีร์นั้นเพียงพอสำหรับสิ่งที่มันถูกกำหนดไว้ให้ทำ แต่ไม่เพียงพอสำหรับสิ่งที่มันไม่ได้ถูกกำหนดไว้ให้ทำ” พระคัมภีร์ถูกเขียนเพื่อเปิดเผยพระคริสต์และสอนเราในการดำเนินตามทางของพระเจ้าและในทำการดีทุกอย่าง แต่มันไม่ได้ถูกเขียนเพื่อบอกผมว่าสภาพอากาศพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ทำไมภรรยาของผมจึงโกรธผม หรืองานไหนที่ผมควรจะทำ เทอรี่ จอห์นสันได้สรุปใจความสำคัญของบทความหลายเรื่องที่เขียนโดยเดวิด เอฟ. คอฟฟิน และ ที. เดวิด กอร์ดอน โดยเขียนรายการคุณสมบัติ 3 ประการที่เพิ่มเข้าในความเพียงพอของพระคัมภีร์ ดังนี้:
1. พระคัมภีร์เพียงพอที่จะเปิดเผยหนทางแห่งความรอดโดยจะต้องมีการทำงานร่วมกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยเท่านั้น ทั้งในการบังเกิดใหม่และการส่องสว่าง”
2. “พระคัมภีร์เพียงพอที่จะเปิดเผยความจริงทั้งสิ้นของพระเจ้าโดยจะต้องมีการทำงานร่วมกันกับการทรงสำแดงของพระเจ้าในธรรมชาติเท่านั้น”
3. “พระคัมภีร์เพียงพอที่จะเปิดเผยความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยการทำงานร่วมกับการใช้เหตุผลอย่างถูกต้องเท่านั้น”
พระคัมภีร์เพียงพอที่จะเปิดเผยพระคริสต์ให้แก่เรา แต่ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เปิดตาใจของเรา จิตใจที่เต็มไปด้วยความบาปของเราจะปฏิเสธการสำแดงที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยให้แก่เรา พระคัมภีร์เพียงพอที่จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพระคริสต์และความรอดให้แก่เรา แต่ถึงกระนั้นก็ตามสิ่งอื่นๆที่พระเจ้าได้ทรงสร้างแล้วก็ยังเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าและจักรวาลนี้ให้เราทราบด้วย (ดูในสดุดี 19, โรม 1:26-27, 1โครินธ์ 11:14) พระเจ้าทรงให้เราทั้งการทรงสำแดงทั่วไป (ธรรมชาติ) และการทรงสำแดงพิเศษ (พระคัมภีร์) แต่เราจำเป็นต้องใช้ความคิดเพื่อที่จะเข้าใจ ตีความ และประยุกต์ใช้ในสิ่งที่พระเจ้าได้เปิดเผยแก่เรา หนึ่งในเหตุผลที่คนเลือกที่จะปฏิเสธความเพียงพอของพระคัมภีร์ก็เพราะพวกเขาคาดหวังที่จะเห็นความจริงของพระเจ้า และน้ำพระทัยที่เฉพาะเจาะจงของพระองค์ในชีวิตของพวกเขาส่งมาถึงเขาในรูปแบบของพัสดุที่ส่งมาถึงมือเขาในหีบห่อที่สวยงามหรือเป็นสิ่งที่จะดาวน์โหลดได้ง่ายๆ แต่พระเยซูทรงคาดหวังที่จะให้เรารู้จักพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์จากการใคร่ครวญอย่างรอบคอบเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว “พระเยซูทรงตำหนิพวกอาลักษณ์ที่ไม่เข้าใจพระคัมภีร์เรื่องหลักข้อเชื่อของการเป็นขึ้นจากความตายจากข้อพระคัมภีร์ ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ’ ให้จดบันทึกขั้นตอนของความเป็นเหตุเป็นผลที่จะให้เราเข้าใจหลักข้อเชื่อของการเป็นขึ้นจากความตาย: [1] 'เป็น' เป็นรูปแบบของการเขียนในเวลาของปัจจุบัน [2] ดังนั้นอับราฮัมจะต้องยังมีชีวิตอยู่ [3] ถ้ายังมีชีวิตอยู่ พวกคนตายก็จะต้องถูกชุบให้เป็นขึ้นมา (มัทธิว 22:23-33)”
เพื่อจะสรุปความหมายของความเพียงพอของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ได้ยืนยันว่าพระคัมภีร์เองเพียงพอที่จะให้เรารู้จักและเชื่อฟังพระเจ้าโดยการใช้พระคัมภีร์ร่วมกับการบังเกิดใหม่และการส่องสว่างของพระวิญญาณให้เรารู้ความหมายของพระคัมภีร์ พร้อมกับการทรงสำแดงทั่วไป และพร้อมด้วยการใช้เหตุและผล พระคัมภีร์เพียงพอก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องอุดหูของเราและไม่ยอมฟังโลกนี้หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อที่จะแค่พึ่งพาพระคัมภีร์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราจะต้องจัดการกับแหล่งความรู้ต่างๆอย่างถูกต้อง และต้องตระหนักไว้ว่าการทำงานของพระวิญญาณ ความรู้ที่เราได้จากสิ่งที่ทรงสร้าง และเหตุและผลของเราเองเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าใช้ที่จะชี้ให้เราไปถึงพระคัมภีร์ซึ่งเป็นการทรงสำแดงของพระคริสต์อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเหตุนี้ พระคัมภีร์จำเป็นต้องอยู่ข้างหน้าและเป็นศูนย์กลางของการสอนและการเทศนาในคริสตจักร
ทำไมผู้คนปฏิเสธความเพียงพอของพระคัมภีร์
แม้ว่าพระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่าพระคัมภีร์เท่านั้นที่เพียงพอสำหรับความเชื่อและชีวิตของคริสเตียน แต่ยังมีคนมากมายที่ต้องการบางอย่างมากกว่านั้น ทุกวันนี้ในคริสตจักรหลายแห่ง เรามักจะไม่ได้เห็นว่าพระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางของชีวิตและการนมัสการในคริสตจักร ไม่ว่าจะเป็นบนธรรมมาสน์ ห้องเรียนรวี กลุ่มย่อยตามบ้าน หรือในบทสนทนาส่วนตัวเกี่ยวกับพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์ คนมากมายกำลังมองไปที่อื่นเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าและพยายามทำความเข้าใจว่าพวกเขาควรทำอะไร ทำไมผู้คนจึงไม่พอใจในพระคัมภีร์ล่ะ? ผมจะแนะนำเหตุผล 3 ประการว่า ทำไมคนเราจึงถือว่าพระคัมภีร์ไม่เพียงพอ:
1. พวกเขาไม่รู้จักพระคัมภีร์อย่างดี
บางคนไม่ได้อ่าน และใคร่ครวญพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ และผลก็คือพวกเขาไม่ได้รู้จริงๆ ว่ามีอะไรอยู่ในพระคัมภีร์บ้าง และเนื่องจากพวกเขารู้เพียงส่วนเล็กๆ ของพระคัมภีร์ พวกเขาจึงด่วนที่จะสรุปว่าพระคัมภีร์ไม่ได้มีคำตอบที่พวกเขาต้องการ
2. พวกเขาไม่รู้ว่าจะใช้พระคัมภีร์อย่างไร
พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มใหญ่ที่ยากที่จะเข้าใจในบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นอ่าน รวมถึงพระคัมภีร์มีรูปแบบการเขียนหลากหลาย (ประวัติศาสตร์ บทกวี สุภาษิต คำพยากรณ์ ฯลฯ) มันถูกเขียนภายใต้ระยะเวลาอันยาวนาน เป็นไปได้ที่จะอ่านพระคัมภีร์ด้วยความคาดหวังที่ผิดๆ เว้นเสียแต่ว่าผู้นั้นจะได้รับการช่วยเหลือและได้รับคำแนะนำในการอ่านพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อบอกเราว่าจะต้องทำอย่างไรในแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต และเราไม่สามารถที่จะเปิดพระคัมภีร์แบบเดาสุ่มและหวังว่าเราจะรู้ว่าพระเจ้ามีอะไรให้เราในวันนี้ เป็นไปได้ที่สิ่งแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้บางครั้ง แต่เราไม่ควรที่จะคาดหวังให้พระเจ้าตรัสกับเราแบบนั้นเสมอๆ คริสตจักรจำเป็นต้องสอนผู้เชื่อว่าจะอ่านพระคัมภีร์ของพวกเขาได้อย่างไร และจะเข้าใจส่วนที่ยากๆ ในพระคัมภีร์ได้อย่างไร
3. พวกเขาถูกสอนให้แสวงหาการทรงสำแดงโดยตรงแทนที่จะค้นหาจากข้อพระคัมภีร์
มีคริสตจักรจำนวนมากมายที่ถ้าไม่สอนตรงๆ ก็สอนเป็นนัยๆ ว่า ผู้เชื่อควรคาดหวังถ้อยคำเหนือธรรมชาติแบบสดใหม่จากพระเจ้าทุกๆ วัน พวกเขาอ้างว่า ชีวิตคริสเตียนที่ปกติควรเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยประสบการณ์อัศจรรย์เหนือธรรมชาติ คนที่ฟังพระวิญญาณได้ก็จะได้ยินพระสุรเสียงจากพระเจ้าโดยตรงและเป็นส่วนตัว ซึ่งผลลัพธ์ของเรื่องนี้ก็คือที่ผู้เชื่อเรียนรู้ที่จะให้คุณค่าของการค้นหาข้อพระคัมภีร์น้อยกว่าเพราะเขาจะรอรับบางสิ่งจากพระเจ้าแบบพิเศษ
ในแต่ละตัวอย่างข้างต้น คนที่ปฏิเสธความเพียงพอของพระคัมภีร์ด้วยการแสดงออกเป็นการกระทำ ก็ยังยืนยันสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ด้วยปากของเขา สองสิ่งนี้ไม่สามารถแยกจากกันได้ เทอรี่ จอห์นสันเขียนว่า “เราสามารถสร้างหลักฐานที่น่าเชื่อถือตามความถูกต้องและสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ได้ แต่ถ้าท้ายที่สุดเราปฏิเสธความเพียงพอของพระคัมภีร์ ปฏิบัติราวกับว่าพระคัมภีร์เป็นเคียวในยุคของเครื่องเกี่ยวไฟฟ้า หรือเป็นเกวียนลากด้วยวัวในท่ามกลางขบวนรถสิบล้อ เก็บมันเอาไว้ในยุ้งข้าวเก่าที่เขรอะด้วยฝุ่น ไม่ใช้และไม่อ่าน สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ก็สูญเปล่า”
ถ้าเราเชื่ออย่างแท้จริงในสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ เราจำเป็นต้องแสดงออกมาทางการกระทำของเราว่าเราเชื่อในความเพียงพอของพระคัมภีร์ด้วย เราจะเรียกพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้ใช้เวลาในการที่จะฟังว่าพระองค์กำลังตรัสอะไรกับเรา ถ้าเราปรารถนาจริงๆ ที่จะยอมจำนนชีวิตให้พระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เราจะต้องเริ่มต้นเชื่ออย่างแท้จริงในความเพียงพอของพระคัมภีร์ เราจำเป็นต้องเชื่อว่าพระคัมภีร์เพียงพอ และเราต้องแสดงออกเป็นการกระทำว่าพระคัมภีร์เพียงพอ
เราจะสนับสนุนความเพียงพอของพระคัมภีร์ได้อย่างไร
สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดของการปฏิเสธความเพียงพอของพระคัมภีร์ แต่เราจะทำสิ่งนั้นเพื่อประโยชน์อะไร? เราควรทำอะไรเพื่อที่จะสนับสนุนความเชื่อในเรื่องความเพียงพอของพระคัมภีร์? ผมขอแนะนำ 7 วิธีที่จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักแน่นที่จะมีความเชื่อแบบที่พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น และสิ่งที่จะนำมาใช้ในคริสตจักรของเราได้:
- เราเองจำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่มีพระคัมภีร์ในชีวิต เราอ่านพระคัมภีร์เป็นนิสัยหรือไม่? และการตัดสินใจในชีวิตส่วนตัวของเรานั้นได้แสดงให้เห็นว่าเราเชื่อในพระคัมภีร์หรือไม่? เราจะต้องดูชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราเอง ตอบคำถามด้วยความสัตย์จริงและยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับพระคัมภีร์
- เราต้องเป็นแบบอย่างในการเทศนาและในสอนว่าพระคัมภีร์นั้นหนักแน่น และเราต้องเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่าสิ่งที่เรากำลังสอนนั้นมาจากพระคัมภีร์
- เราจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ให้ยาวและมากขึ้นและอ่านพระคัมภีร์หลากหลายบทมากขึ้นในการนมัสการของเรา ถ้าสมาชิกในคริสตจักรได้ยินแค่เพียงส่วนเล็กๆ ของพระคัมภีร์ที่ถูกนำมาใช้ในการนมัสการในวันอาทิตย์ มันก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะให้ความสนใจพระคัมภีร์แค่เพียงเล็กน้อยขณะที่เขาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตนเอง หรือเมื่อเขานมัสการที่บ้าน โรงเรียน หรือที่ทำงาน
- เราจะต้องต้องหนุนใจคนอื่นให้อ่านและศึกษาพระคัมภีร์ ผู้คนที่คริสตจักรของเราอาจไม่ได้คิดขึ้นมาเองว่าพวกเขาควรที่จะใช้เวลาในการอ่านพระคัมภีร์ที่บ้าน ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องช่วยพวกเขาโดย แนะนำแนวทางว่าอะไรที่ควรอ่านและอ่านอย่างไร ถ้าพวกเขาไม่คุ้นเคยกับการอ่าน หรืออ่านหนังสือไม่ค่อยออก เราจะต้องหาพระคัมภีร์ในรูปแบบเสียงให้พวกเขาฟังแทนเพื่อช่วยพวกเขาให้เข้าใจพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
- เราจะต้องหนุนใจผู้อื่นด้วยความสุภาพแต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องหนักแน่น เพื่อให้พวกเขาติดตามการทรงนำจากพระคัมภีร์แทนที่จะพึ่งพาความรู้เรื่องพระเจ้าจากแหล่งอื่นที่อาจไม่แน่นอน พระคริสต์ทรงเปิดเผยพระองค์เองอย่างสมบูรณ์แบบแล้วในพระคัมภีร์ และนั่นคือสิ่งที่เราจะต้องชี้ให้คนเห็นอยู่เสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะตื่นเต้นแค่ไหนเกี่ยวกับเรื่องความฝัน ผู้เผยพระวจนะ ถ้อยคำแห่งความรู้ หรือสิ่งอื่นๆ ที่พวกเขาคิดว่าพระเจ้าได้บอกพวกเขาก็ตาม
- ควรตรวจสอบ (และหนุนใจคนอื่นให้ตรวจสอบ) วิธีการใหม่ๆหรือแนวความคิดใหม่ๆ โดยใช้พระคัมภีร์เป็นมาตรฐาน คริสเตียนสมัยนี้อยู่ท่ามกลางหนังสือ วีดีโอ สัมมนา และการประชุมมากมายที่อ้างว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยพวกเขารู้จักและเชื่อฟังพระเจ้า ทรัพยากรเหล่านี้บางอย่างก็ดีเยี่ยมและตรงตามพระคัมภีร์ แต่บางอย่างก็ควรจะต้องเอาหินโม่ผูกที่คอของมันและทิ้งลงทะเลไป เราจำเป็นต้องรู้พระคัมภีร์ให้ดีพอที่จะแยกแยะข้าวสาลีออกจากแกลบ และแยกแยะความจริงออกจากความเท็จ และช่วยคนอื่นที่จะทำแบบเดียวกันด้วย
- เลือกเพลงนมัสการที่แต่งมาจากข้อพระคัมภีร์ ภัยพิบัติของเพลงนมัสการสมัยใหม่ก็คือเนื้อหามักไม่ค่อยเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ เนื้อเพลงส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยการสรรเสริญและการชื่นชมยินดีทั่วๆ ไป แต่ไม่ค่อยมีเนื้อหาว่าพระคริสต์ทรงเป็นผู้ใด และพระองค์ได้ทรงทำอะไร หรือสิ่งที่พระคริสต์จะทรงทำอนาคต ถ้าเราให้พระธรรมสดุดีหรือเพลงอื่นๆ ที่มีเนื้อหาตรงตามข้อพระคัมภีร์เข้าไปในรูปแบบหรือเนื้อหาของเพลงนมัสการ เราก็จะช่วยให้เหล่าบรรดาผู้นมัสการได้เรียนรู้ที่จะรู้จักพระเยซูคริสต์มากขึ้น ในที่สุดแล้วบางคนอาจจะจดจำเพลงนมัสการได้นานกว่าคำเทศนาด้วย
ถ้าเราสามารถที่จะนำคำแนะนำบางส่วน(หรือทั้งหมด) ที่ได้กล่าวไว้ข้างบนนี้ไปใช้ในคริสตจักรของเรา เราก็กำลังเดินหน้าไปสู่การฟื้นฟูความเชื่อในเรื่องความเพียงพอของพระคัมภีร์ในคริสตจักรของเรา และเป็นสิ่งที่แน่นอนว่าเราไม่ได้ต้องการการยืนยันเรื่องความเพียงพอของพระคัมภีร์ด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ต้องเป็นการนำไปปฏิบัติจริง และในแต่ละวันจะต้องมุ่งมั่นที่จะแสวงหาพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นพระชนม์และทรงเกียรติสิริในที่ที่พระองค์จะถูกพบได้ ซึ่งก็คือ พระคัมภีร์