ภาพรวมของการประชุมฟื้นฟู Revive Asia
เมื่อวันที่ 8-10 มกราคม (2016) ได้มีการจัดการประชุมฟื้นฟู Revive Asia ขึ้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีตัวแทนจากประเทศต่างๆเข้าร่วมมากกว่า 25 ประเทศ แต่ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนมากคือคนไทย ผมเองได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย โดยผมหวังว่าผมจะสามารถสรุปสิ่งสำคัญต่างๆที่วิทยากรที่มาในประชุมฟื้นฟูครั้งนี้ได้สอนไว้
ตลอดทั้งการประชุม มีหัวข้อหลัก ๆ 3 หัวข้อที่ถูกกล่าวถึงตลอด หัวข้อแรกคือ การรับการถ่ายทอดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งคือการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่และฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หัวข้อที่ 2 คือ การประกาศว่าเรากำลังอยู่ใน “ยุคสุดท้าย” และหัวข้อที่ 3 คือ “การปฏิรูปทางศาสนา” ครั้งที่ 3 เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น วิทยากรเกือบทุกคนจะพูดถึงหัวข้อเหล่านี้หนึ่งหรือสองหัวข้อในคำสอนหรือ”คำเทศนา”ของพวกเขา
การรับการถ่ายทอดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ความจริงที่หัวข้อเรื่องการรับการถ่ายทอด นี้เป็นเรื่องหลักที่การประชุมนี้เน้นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าประหลาดใจเลย วิทยากรหลักหลายๆ ท่านที่มาแบ่งปันที่การประชุมนั้น ต่างเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการรักษาโรคและการอัศจรรย์ บางสิ่งที่พวกเขาสอนและเป็นสิ่งที่เราควรจะรับทราบคือ
สิ่งแรก ที่พวกเขาสอนว่าการรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายครั้งและจะเกิดขึ้นหลายครั้งในชีวิตของเรา และยิ่งได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เป็นคนฝ่ายจิตวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่สองคือ ในยอห์น 14:12 พระเยซูสอนเราว่า เราจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระองค์ทรงกระทำ พวกวิทยากรเหล่านั้นได้เน้นย้ำหลายต่อหลายครั้งว่า ถ้าใครก็ตามได้รับการเจิมอย่างเต็มที่ด้วยพระวิญญาณแล้ว พวกเขาจะสามารถกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น เงาของพวกเขาจะสามารถรักษาคนป่วยได้ เหมือนอย่างเงาของเปโตร ในพระธรรมกิจการ 5 เสื้อผ้าหรือสิ่งที่พวกเขาสัมผัสจะสามารถนำไปรักษาคนเจ็บป่วยได้ (กิจการ 19:11, 12)
วิทยากรเหล่านั้นได้กล่าวอ้างว่ามันขึ้นอยู่กับความเชื่อ ความสามารถของแต่ละคนในการรักษาโรคหรือทำการอัศจรรย์ได้นั้นขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นมีความเชื่อมากน้อยแค่ไหน และเพื่อที่จะป้องกันข้อสงสัยที่อาจจะเกิดขึ้นจากหลักคำสอนนี้ พวกเขาได้อธิบายเพิ่มเติมว่าความเชื่อนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภท ประเภทที่ 1 คือความเชื่อที่เราได้รับมาจากพระเจ้า และความเชื่อประเภทที่ 2 ความเชื่อส่วนตัวที่เราเป็นผู้ที่กระทำ เราสามารถสร้างและทำให้ความเชื่อนั้นเข้มแข็งขึ้นได้ และความเชื่อนี้เองที่จะเป็นสิ่งที่วัดและตัดสินว่าใครจะมีความสามารถที่จะทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญได้ ข้อพระคัมภีร์ที่พวกเขายกมากล่าวอ้างในเรื่องนี้คือ มาระโก 11:22-24 และ 1 โครินธ์ 12:8-10
ท้ายที่สุด วิทยากรเหล่านั้นล้วนแต่เน้นว่า โดยผ่านทางการเจิมและการรับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทำให้คนได้รับความรู้พิเศษจากพระเจ้า ตัวอย่างเช่น การทรงสำแดง ซึ่งความรู้พิเศษเหล่านี้จะถูกส่งมาโดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การเจ็บปวดภายในร่างกายที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ, ผ่านทางความฝัน , ผ่านทางความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา หรือผ่านทางการมองเห็น
จากสิ่งที่พวกเขาได้สอนในเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมด มันยิ่งทำให้เห็นได้ว่า วิทยากรเหล่านั้นสอนโดยเน้นเพียงแค่ของประทานจากพระวิญญาณ 2-3 อย่างเท่านั้น และไม่ได้ให้ความสำคัญต่อของประทานอื่นๆที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้เลย
ยุคสุดท้าย
ตลอดทั้งการประชุมนี้ วิทยากรได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันนี้คือ “ยุคสุดท้าย” และเรากำลังอยู่ในยุคสุดท้าย ได้มีการทำนายไว้ว่า ปี 2016 จะเป็นปีที่สองอาณาจักรขัดแย้งกัน สองสิ่งที่ได้พวกเขาได้กล่าวไว้ในเรื่อง “ยุคสุดท้าย” มีดังนี้ สิ่งแรกคือ วิญญาณของเอลียาห์และเอลีชาได้ถูกปลดปล่อยออกมา สิ่งที่สองคือ คริสเตียนควรที่จะยินยอมเชื่อฟังบิดาฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเขา ถึงแม้ว่า เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ครั้งแรกอาจจะสงสัยว่าใครคือบิดาฝ่ายจิตวิญญาณและคริสเตียนควรจะเชื่อฟังบิดาฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างไรบ้าง แต่มีวิทยากรสองท่านในประชุมนั้น คือ ศิษยาภิบาล กิเดโอน ชูว์ (Gideon Chiu) และศิษยาภิบาล เดวิด เดเมียน (David Demian) ที่วิทยากรท่านอื่นจะเรียกว่าเป็น “บิดา” หรือ “พ่อ” ศิษยาภิบาล ชี คังเส็ง (Chee Kang Seng) ซึ่งเป็น ผู้ริเริ่มการประชุมนี้ได้กล่าวว่า เขาเองได้ยินยอมให้วิทยากรทั้ง 2 ท่านนั้นเป็นบิดาฝ่ายจิตวิญญาณของเขา และในการประชุมกลุ่มย่อยของศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรซึ่งผมเองเข้าร่วมประชุมในกลุ่มนั้นด้วย ผู้นำกลุ่มเองได้หนุนใจให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มนั้นยอมที่จะเชื่อฟังวิทยากรทั้งสองคนนั้น และให้เขาเป็นบิดาฝ่ายจิตวิญญาณของเรา รวมถึงให้ยอมรับในการเป็นผู้นำของพวกเขาจากประสบการณ์ต่างๆ ของพวกเขาและจากสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้
ในเรื่องวิญญาณของเอลียาห์และเอลีชา พวกเขาสอนว่าพระเจ้าได้ทรงปลดปล่อยวิญญาณของพวกเขาทั้งสองออกมาแล้ว ใจความในเรื่องวิญญาณของเอลียาห์คือคนมากมายกำลังได้กลับเป็นหนึ่งเดียวกับบิดาฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเขาและกำลังได้รับความรักจากพระบิดา ส่วนในเรื่องวิญญาณของเอลีชานั้น พวกเขาได้อธิบายไว้ 2 ประการ ประการแรกคือ เอลีชาได้รับการเจิมเป็นสองเท่าจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ การเจิมที่ทวีคูณนี้จะถูกปลดปล่อยออกมาในช่วงเวลาแห่ง “ยุคสุดท้าย”นี้เอง และประการที่สองคือ การปรากฏตัวของเอลีชานั้นทรงพลังมากทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเทศนาหรือสั่งสอนเลย เขาเพียงแค่เดินเข้าในห้องเท่านั้น คนทั้งหลายก็จะรู้ทันทีว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ดังเช่นเมื่อมีผู้บริสุทธิ์เดินเข้ามาในห้อง เขาจะนำวิญญาณแห่งสันติสุขที่จะทำให้ทุกคนสัมผัสได้เข้ามาด้วย ดังนั้น ในช่วง “ยุคสุดท้าย” นี้ไม่ว่าคริสเตียนจะปรากฏตัวที่ไหนก็ตาม จะต้องเปี่ยมด้วยพลังที่ทำให้คนอื่นๆ รู้ว่าเราเป็นใคร
การปฎิรูปศาสนาครั้งที่ 3
ชี คังเส็ง ได้สอนว่า การปฏิรูปทางศาสนาครั้งแรกได้เริ่มขึ้นโดย มาร์ติน ลูเธอร์ และเหล่านักปฏิรูปทั้งหลาย และการปฏิรูปครั้งที่สองคือ การตื่นตัวยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณ (The Great Awakening) และเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การปฏิรูปทางศาสนาครั้งที่สาม ได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อสองสามเดือนก่อน ขณะที่เขาอยู่ที่ประเทศเยอรมันและพระเจ้าได้ทรงนำเขาให้เข้าไปเยี่ยมเมืองวิทเทนเบิร์ก เพื่อที่จะไปเยี่ยมชมอาคารที่เปิดให้คนเข้าไปอธิษฐานตลอด 24 ชั่วโมง ที่เมืองนั้นเองที่มาร์ติน ลูเธอร์ได้ติดข้อโต้แย้ง 95 ข้อไว้ที่ประตู และเป็นที่ชัดเจนว่า ตอนนี้พระเจ้าเองทรงเลือกที่จะใช้เมืองนี้อีกครั้งหนึ่งในการปฏิรูปคริสตจักร การปฏิรูปครั้งที่สามนี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นที่สถานที่เดิมเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเชสแวนของชาวยิว ซึ่งเป็นเดือนเดียวกันกับที่มาร์ติน ลูเธอร์ติดข้อโต้แย้งเหล่านั้นของเขา ตามที่ชี คังเส็งได้กล่าวไว้ การตื่นตัวยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณก็ได้เกิดขึ้นในเดือนนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้เดือนนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของเดือนแห่งการฟื้นฟู
พวกเขาสอนว่า “การปฏิรูปศาสนา”ครั้งที่สามนี้ คือการที่ความรักของพระบิดาได้ถูกปลดปล่อยออกมา และเป็นจุดจบของการแบ่งแยกนิกายต่างๆ ในคริสต์ศาสนา มันเป็นการรวมตัวกันของครอบครัวของพระเจ้า และโดยผ่านทางการนำของพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะปลดปล่อย การรับบัพติศมาด้วยความรักของพระบิดา ซึ่งบางคนอาจจะเรียกว่าเป็น การเจิมด้วยความรักของพระบิดา สิ่งนี้เองที่จะกำจัดความแตกแยกของหลักข้อเชื่อต่างๆ ออกไปและนำให้คริสเตียนเข้าสู่การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริง คำถามที่เกิดขึ้นคือ เรื่อง “การปฏิรูปศาสนาครั้งที่สาม” นี้จะไปได้ไกลแค่ไหน และหลักข้อเชื่อไหนจะยังคงเป็นหลักข้อเชื่อที่สำคัญ และหลักข้อเชื่อไหนที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
บทสรุปจากการประชุมฟื้นฟู Revive Asia
จากทั้ง 3 หัวข้อ คือ การถ่ายทอดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยุคสุดท้าย, และ การปฏิรูปศาสนาครั้งที่ 3 สิ่งสำคัญที่วิทยากรสอนคือ ให้เชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด พวกเขาใช้ตัวอย่างเรื่องการซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ หรือระบบซอฟท์แวร์ใหม่ พวกเขาอธิบายอย่างละเอียดว่า เวลาที่คุณจะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ คุณจะเลือกซื้อรุ่นที่ดีที่สุดหรือทันสมัยที่สุด คุณจะไม่กลับไปซื้อคอมพิวเตอร์ที่ผลิตออกมารุ่นแรกแล้วใช้ความพยายามของคุณค่อย ๆ ทำให้มันเป็นรุ่นล่าสุด จากสิ่งที่พวกเขาสอนคือ ทุกคนควรจะยอมรับการทำงานและประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเขาว่าเป็นความจริง และ “ดาวน์โหลด” เวอร์ชั่นล่าสุดที่ดีที่สุดลงไป เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเชื่อว่าคำสอนของพวกเขาเป็นความจริงและเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปหาสิ่งที่ตกยุคหรือล้าสมัยอีกต่อไป
คำเตือน
โดยรวมแล้ว การประชุมฟื้นฟู Revive Asia นั้นเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก การที่พวกเขาต้องการให้ยอมเชื่อฟังพวกเขาโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ และ ต้องการให้ยอมรับคำสอนเหล่านั้น นับว่าเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว จากการค้นคว้าข้อมูลเบื้องต้นของบรรดาวิทยากรเหล่านั้น ได้เปิดเผยให้เห็นได้ว่า พวกเขาเหล่านั้นให้ความสำคัญกับพระคัมภีร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการสอนที่ว่าพระคัมภีร์อย่างเดียวก็เพียงพอ (Sola Scriptura) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักปฏิรูปศาสนาได้กำหนดไว้ นอกจากนั้น ยังได้พบอีกว่า วิทยากรหลายท่านในประชุมได้เคยถูกขับให้ปลดออกจากนิกายเดิมของพวกเขาเพราะว่าคำสอนของพวกเขาไม่ตรงตามหลักพระคัมภีร์
ความคิดของมาร์ติน ลูเธอร์, จอห์น คาลวิน และนักปฏิรูปศาสนาที่ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ คือ พวกเขาไม่ได้ปฏิรูปในเรื่องสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น หรือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ แต่พวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องรักษาความจริงของพระคำของพระเจ้า งานของพวกเขาได้ยืนหยัดอยู่จนมาถึงยุคสมัยนี้ และได้รับการพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขา และสิ่งที่เกิดขึ้นในการตื่นตัวยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณก็เช่นกัน การที่บรรดาวิทยากรและผู้นำได้กล่าวอ้างถึงสิ่งต่าง ๆในการประชุมครั้งนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่กล้ามาก แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์อย่างแท้จริง เวลาจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ ‘การปฏิรูป’ ของพวกเขาเอง ว่า การปฏิรูปของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้าหรือมาจากแหล่งอื่น