แนวทางการพิจารณาเรื่องการสอนผิด-เทียมเท็จในคริสตจักร

บทความข้างล่างนี้ถูกเขียนโดย คณะกรรมการศาสนศาสตร์ของกปท.

 

แนวทางในการพิจารณาว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือ กลุ่มใด สอนผิดหรือมีการสอนเทียมเท็จ นั้นดูได้จากแนวทางการปฏิบัติหรือความเชื่อของบุคคลหรือกลุ่มนั้นที่แสดงออก ซึ่งเป็นที่สังเกตได้ดังนี้

1. คำสอนหรือความเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์

  1. เขาเหล่านั้นมีความเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์เป็นแหล่งความรอดเดียวหรือไม่?
  2. การสอนเทียมเท็จจะมีการเพิ่มเติมสิ่งอื่นที่เท่าเทียมเข้ามาควบคู่กับสิทธิอำนาจของพระเยซู
  3. มีรูปแบบพิธีกรรม หรือ ลักษณะการแสดงออกในที่ประชุม ที่แตกต่างจากแนวปฏิบัติหรือการนมัสการทั่วไปของคริสตจักร และให้ความสำคัญกับพิธีกรรมเหล่านั้นเท่าเทียมกับ พระคริสต์
  4. บางครั้งอำนาจหรือความสำคัญ ที่เท่าเทียมพระคริสต์เหล่านี้ออกมาในรูปแบบของกฎ ข้อบังคับ หลักข้อเชื่อที่ตั้งขึ้น หรือมีผู้นำที่มีสิทธิอำนาจเท่าเทียมกับพระคริสต์
  5. หรืออีกนัยหนึ่งเขาจะบอกว่าเชื่อพระคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด แต่จะมีการเพิ่มเติมว่า ผู้เชื่อต้องการ หรือ ต้องมีสิ่งอื่นๆ อีกความรอดที่มีอยู่ถึงจะสมบูรณ์ และจะทำให้มีความมั่นใจในการไปสวรรค์
  6. คำสอนเทียมเท็จจะสอนว่าความรอดมาทางพระเยซูคริสต์ แต่จะต้องเพิ่มบางสิ่งบางอย่างที่เฉพาะเขาหรือกลุ่มของเขาเท่านั้นที่สามารถหยิบยื่นหรือจัดหาให้ได้
  7. บางกลุ่มจะไม่ให้ความสำคัญกับพระเยซูคริสต์เลย มีแต่เพียงการยกย่องผู้นำเทียมเท็จเท่านั้น ถ้ามีการกล่าวถึงพระคริสต์ก็เพียงเพื่อสนับสนุนคำสอนหรือสิทธิอำนาจของตนเอง
  8. เขายกย่องให้ผู้ฟัง หรือสาวก ติดตามพระเยซู หรือตัวของเขาหรือคณะของเขามากกว่า?

คำสอนเทียมเท็จของ “ข่าวประเสริฐแห่งความเจริญรุ่งเรือง” (Prosperity Gospel)

บทความข้างล่างนี้ถูกเขียนโดย คณะกรรมการศาสนศาสตร์ของกปท.

สารบัญ : คำนำ - บทความคำสอนเทียมเท็จ - แนวทางการพิจารณาเรื่องการสอนผิด-เทียมเท็จในคริสตจักร

คำนำ

คำสอนเทียมเท็จหรือคำสอนผิดมีอยู่ตั้งแต่สมัยของพระเยซูและคริสตจักรในยุคแรก

ครั้งหนึ่งพระเยซูเองได้กล่าวเตือนสาวกของพระองค์ไว้ดังนี้ว่า

 “และในเวลานั้น ถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า ‘แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘แน่ะ อยู่ที่โน่น’ อย่าได้เชื่อเลย  ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ เพื่อล่อลวงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วให้หลง ถ้าเป็นได้   แต่ท่านทั้งหลายจงระวังให้ดี ดูเถิด เราได้บอกท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว”  (มาระโก 13:21-23)
และอัครสาวกเปโตรได้เตือนคริสตจักรในเวลานั้นไว้เช่นกันว่า

 “แต่ว่าได้มีคนที่ปลอมตัวเป็นผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นในชนชาตินั้น เช่นเดียวกับที่จะมีผู้สอนผิดเกิดขึ้นในพวกท่านทั้งหลาย ซึ่งจะลอบเอามิจฉาลัทธิอันจะให้ถึงความพินาศเข้ามาเสี้ยมสอน จนถึงกับปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ได้ทรงไถ่เขาไว้ ซึ่งจะทำให้เขาพินาศโดยเร็วพลัน  จะมีคนหลายคนประพฤติชั่วตามอย่างเขาและเพราะคนเหล่านั้นเป็นเหตุ ทางของสัจจะจะถูกกล่าวร้าย  และด้วยใจโลภเขาจะกล่าวตลบแตลงค้ากำไรจากท่านทั้งหลาย การลงโทษคนเหล่านั้นที่ได้ถูกพิพากษานานมาแล้วจะไม่เนิ่นช้า และความวิบัติที่จะเกิดกับเขาก็หาสลายไปไม่” (2 เปโตร 2.1-3)

ดังนั้นคริสตจักรและผู้นำในปัจจุบันควรตระหนักและตื่นตัวในเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น  เพราะปัจจุบันมีคำสอนที่ผิดแปลกไปจากคำสอนที่คริสตจักรยุคแรกได้เชื่อและสั่งสอนสืบทอดกันมามากขึ้นเรื่อย ๆ  ปัจจุบันคำสอนที่ขัดแย้ง หรือปราศจากข้อสนับสนุนจากพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่อันตรายและทำลายพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์  คำสอนเหล่านี้บางครั้งปรากฏเพียงครั้งเดียวและไม่สามารถยืนยันจากที่อื่น ๆ ได้ หรือยิ่งไปกว่านั้นคำสอนผิดเหล่านี้ยังขัดแย้งกับคำสอนในเรื่องเดียวกัน ในตอนอื่น ๆ ของพระคริสตธรรมคัมภีร์

บทความจากคณะกรรมการศาสนศาสตร์ของกปท.ข้างล่าง  จึงเป็นการจุดประกายที่สำคัญอันเนื่องจากการที่คริสตจักรของพระเจ้าตระหนักถึงความสำคัญในการเผชิญหน้ากับคำสอนผิด และผู้ที่นำคำสอนผิดมาเผยแพร่ ทั้งนี้มุ่งให้คริสตจักรยืนหยัดในความเชื่อที่ถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้า อันเป็นสิทธิอำนาจที่สูงสุดของคริสตจักร                                                           

ทำไมผู้นำมักจะเป็นนักอ่าน

โดย Kevin Eastman


ผู้นำมักจะเป็นนักอ่านเสมอ พวกเขาไม่ได้อ่านหนังสือแบบพอเป็นพิธี คนที่ต้องการนำคนอื่นให้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นจะต้องตระหนักถึงความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้และเติบโตขึ้น ปัญหาอยู่ที่ว่าคนส่วนมากล้วนแต่ต้องการเรียนรู้และเติบโตขึ้น แต่พวกเขาไม่ได้ยอมที่จะทุ่มเททำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาจะไปถึงเป้าหมาย

หนังสือชีวประวัติของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่ผมได้อ่านไปเล่มล่าสุดนั้น ได้พูดถึงเรื่องจำนวนหนังสือที่เขาอ่านในแต่ละปี ในปีสุดท้ายที่เขาทำงานในสำนักงานของเขา ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช อ่านหนังสือประมาณ 100 เล่ม แต่ก็ยังแพ้ที่ปรึกษาอาวุโสคนหนึ่งของเขาที่มีชื่อว่า คาร์ล โรฟ ที่เอาชนะเขาไปด้วยการอ่าน 125 เล่มในปีนั้น

พวกเขาอ่านหนังสือมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร ประธานาธิบดีบุชมีตารางการทำงานที่ยุ่งมาก และเขาก็ไม่สามารถที่จะนอนดึกแล้วตื่นสายในวันถัดไปได้ แต่ผมกลับคิดว่าคำตอบอยู่ที่ เขามีวิธีอ่านหนังสืออย่างไรมากกว่า เขามีเวลามากแค่ไหนในการอ่าน

รายงานเรื่อง เบนนี ฮินน์ (Benny Hinn) ต่อคริสตจักรไทย

รายงานเรื่อง เบนนี ฮินน์ (Benny Hinn) ต่อคริสตจักรไทย

กรกฎาคม 2012

“และด้วยใจโลภเขาจะกล่าวตลบตะแลงค้ากำไรจากท่านทั้งหลายการลงโทษคนเหล่านั้นที่ได้ถูกพิพากษานานมาแล้วจะไม่เนิ่นช้าและความวิบัติที่จะเกิดกับเขาก็หาสลายไปไม่”

2 เปโตร2:3

โดย

ศจ. คาร์ล ดาห์เฟรด

ศจ. ดร. มนตรี วิสเซอร์


นักเทศน์ที่มีชื่อเสียงจากตะวันตกเมื่อเดินทางมาทำการประกาศที่ประเทศไทยก็สามารถดึงดูดคนเข้าร่วมได้มาก นักเทศน์เหล่านี้มีประวัติการทำงานยาวนานและเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศของตน แต่ในประเทศไทย มีน้อยคนที่รู้จักคนเหล่านี้ พวกเขาเป็นคนดีหรือเลว? พวกเขานำพระพรมาหรือสอนผิด เป็นเรื่องยากที่จะรู้ได้

รายงานสั้น ๆ นี้เป็นรายงานเกี่ยวกับเบนนี ฮินน์ ซึ่งกำลังจะเดินทางมากรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 11-12 กันยายน 2012

เบนนี ฮินน์ คือใคร?

ประวัติการรับใช้

เบนนี ฮินน์ อ้างว่าจุดเปลี่ยนชีวิตของเขาเกิดขึ้นในปี 1973 ขณะที่เขายังเป็นวัยรุ่น และได้รับมอบหมายให้ดูแลสตรีร่างกายไม่สมประกอบคนหนึ่ง ระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมการรักษาโรคของแคธรีน คุลแมน เบนนี กล่าวว่าเขาได้เห็นหญิงผู้นั้นได้รับการรักษา อาการเจ็บปวดได้หายไป และขาของเธอก็ “ไม่บิดเบี้ยว” อีก

หลังจากเหตุการณ์นั้น เบนนี ฮินน์ ได้กลายเป็นนักเทศน์ และผู้จัดการประชุมเพื่อการรักษาโรค เขาได้อ้างถึงการอัศจรรย์หลายอย่าง แต่ก็ยากที่จะยืนยันได้ บางครั้งก็ดูเหมือนว่าเขาได้แต่งเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นเอง ตัวอย่างเช่น ฮินน์อ้างว่า ในปี1976 เขาได้เทศนาที่โรงเรียนคาธอลิคสำหรับหญิงล้วนแห่งหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็ม และ “เด็กหญิงทุกคน รวมทั้งนางชีทั้งหมดได้รับความรอด” ในกรุงเยรูซาเล็มมีโรงเรียนคาธอลิคสำหรับเด็กหญิงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ วิทยาลัยสตรีชมิดช์ ผู้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้ได้สัมภาษณ์นางชีผู้ประจำการอยู่ที่นั่นในปี 1976 รวมทั้งบาทหลวงดูซินด์ ผู้รับผิดชอบงานศาสนกิจทั้งหมดของวิทยาลัยมาตั้งแต่ปี 1955 และท่านได้ตอบคำถามนี้ว่า “มันเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย เพราะว่าไม่มีทางที่เราจะยอมให้นักเทศน์โปรแตสแตนท์ หรือ นักเทศน์ที่เชื่อเรื่องการอธิษฐานรักษาโรคมีโอกาสเขามาสั่งสอนเด็ก ๆ ของเราอย่างเด็ดขาด”  

ปี 1979 เบนนี ฮินน์ ได้ย้ายไปอยู่ที่ออรันโด รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา และในปี 1983 เขาได้ก่อตั้ง “ออรันโด คริสเตียน เซนเตอร์” ปลายทศวรรตที่ 1980 เขาเริ่มจัดประชุมเพื่อการรักษาโรคทั่วอเมริกา และในต่างประเทศด้วย ในการประชุมเหล่านั้น ฮินน์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสกับเขาโดยตรงและคนเจ็บป่วยที่เขากล่าวถึงอย่างเจาะจงนั้นได้รับการรักษาให้หาย เขากลายเป็นนักเทศน์ที่น่าสนใจติดตาม ผู้คนจำนวนมากมาร่วมในการประชุมของเขาด้วยหวังว่าจะรับการรักษาโรคให้หายได้ สำนักข่าวของอเมริกันสองแห่งได้ทำการสอบสวนเรื่องนี้และพบว่าไม่มีสักคนหนึ่งที่ได้รับการรักษาจากการจัดประชุมของเขา และในทางตรงกันข้ามบางคนได้เสียชีวิตจากโรคภัยที่น่าจะได้รับการรักษาด้วย เมื่อมีคนสอบถามถึงเรื่องการรักษาที่ล้มเหลวนี้ เขากลับหลีกเลี่ยงคำถาม หรือไม่ก็ให้สัญญาว่าในอนาคตเขาจะทำให้ดีกว่าเดิม แต่เขาก็ยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิมโดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย    

ทุกวันนี้ เบนนี ฮินน์ เดินทางไปทั่วด้วยเครื่องบินส่วนตัว จัดการประชุมสำหรับการอัศจรรย์ และใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยด้วยเงินถวายที่ได้จากการจัดประชุมต่าง ๆ

สองประเด่นสำคัญในข่าวประเสริฐที่มักถูกละเลย

One Way Signโดย ศจ. เควิน ดียัง (Kevin DeYoung)

มันน่าแปลกใจว่าบ่อยครั้งหลายคนคิดว่าพวกเขาได้เล่าเรื่องของคริสเตียนหรือ ได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว  แต่มันก็ยังไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับความบาป หรือการกลับใจใหม่เลย

เรื่องของข่าวประเสริฐนั้นไม่ใช่แค่คำเชิญชวนเพื่อให้มารู้จักกับความรักของ พระเจ้า หรือเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ หรือแค่มีชีวิตนิรันดร์ทั้งหมดนี้ก็จริงอยู่ แต่การทรงเรียกที่ให้คนมีความเช่ือที่แท้จริงนั้นจะต้องประกอบไปด้วยการกลับ ใจใหม่

ถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย...


คริสเตียนทั้งหลายเชื่อและรู้ดีว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ แต่หลายคนยังไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างไร พระเยซูได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของเราและเพื่อให้เราขึ้นสวรรค์ได้ นี่ยังไม่เพียงพอหรือ? เรื่องการคืนพระชนม์ส่งผลอะไรต่อความเชื่อของเราล่ะ? ถึงพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมา บาปของเราก็ยังได้รับการอภัยอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

ผมอยากให้ท่านลองจินตนาการดูว่า หากโลกนี้ไม่มีเรื่องการคืนพระชนม์ของพระเยซูแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง  พระเยซูถูกทหารโรมันจับกุมและพวกสาวกกระจัดกระจายไป เปโตรปฏิเสธพระเยซู พวกสาวกพากันซ่อนตัวเพราะกลัวว่าจะถูกจับกุมและประหารชีวิตเป็นรายต่อไป  ในเช้าวันอาทิตย์ผู้หญิงสามคนไปที่อุโมงค์ฝังศพเพื่อเอาเครื่องหอมไปชโลมพระศพของพระองค์ แต่พบว่าอุโมงค์ถูกปิดไว้ และพวกยามก็ไล่ให้กลับไป  พวกผู้หญิงกลับมารายงานกับพวกสาวกว่าเข้าไปไม่ได้ พวกสาวกซ่อนตัวต่อไปอีกสักพักหนึ่ง  ไม่มีเหตุการณ์ในวันเพ็นเทคอสต์ เปโตรไม่ออกไปเทศนาสั่งสอน แต่ไปจับปลาตามปกติ  ฝูงชนจำนวนสามพันคนไม่ได้ยินเรื่องราวที่พระเยซูทรงชนะความบาปและความตาย  ท้ายที่สุดคนส่วนใหญ่ก็ลืมเรื่องพระเยซูไป และพวกอดีตสาวกก็ค่อยๆ กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ในขณะที่สาวกบางคนย้ายไปอยู่เมืองอื่นให้พ้นจากพวกผู้นำยิวที่ฆ่าพระเยซู แล้วเรื่องก็จบลง

หรือบางทีพวกสาวกอาจออกไปประกาศกับผู้คนอย่างลับๆ ว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปเรา พวกเขาไม่มีหลักฐานยืนยันเรื่องนี้ แต่พวกเขาเชื่อว่าน่าจะเป็นจริง  มีบางคนเชื่อตามพวกเขาและคริสตจักรก็ค่อยๆ ขยายออกไป  สองพันปีต่อมา คนที่เป็นคริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์ไถ่บาปเพื่อให้พวกเขาขึ้นสวรรค์ได้ พวกเขาว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะและเป็นคนดี บางคนก็ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่คนอื่นแย้งว่าเป็นเรื่องไร้สาระและเยาะเย้ยว่า “พวกคุณนมัสการคนที่ตายไปแล้ว คนตายจะเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?”  เมื่อคริสเตียนตายจากโลกนี้ไปแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง? พระศพของพระเยซูยังถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ เสื่อมสลายกลับไปเป็นผงคลีดินเหมือนคนทั่วไป  แล้วจิตวิญญาณของพระเยซูล่ะ อยู่ที่ไหนแล้ว?  พวกคริสเตียนเชื่อกันว่าบาปของเขาได้รับการอภัยโทษแล้ว แต่หลายคนก็ยังไม่มั่นใจนัก  พระเยซูมีชัยชนะบนไม้กางเขนจริงหรือ? ถ้าชนะจริง ทำไมถึงยังตายล่ะ?  ปลายทางชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเยซูจะเหมือนปลายทางของพระเยซูหรือไม่? พระเยซูตรัสว่า “เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย” (ยอห์น 14:3) แต่ “ที่นั่น” คือที่ไหนกันแน่? บนสวรรค์ หรือนรก หรือถูกฝังอยู่ใต้พื้นดิน?

หากพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย บรรดาคริสเตียนจะมีความชื่นชมยินดีและมั่นใจในพระเจ้าได้อย่างไร?  หากปราศจากเรื่องนี้ ความเชื่อของคริสเตียนก็คงหมดสภาพและไม่อาจคงอยู่ได้  เพราะการที่พระเยซูเป็นขึ้นมานี้เอง เราจึงมีความหวัง ความตายไม่ใช่จุดจบของเรา แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น  เพราะพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย เราจึงมีความมั่นใจว่าพระองค์ได้มีชัยชนะที่ไม้กางเขนแล้ว และเราสามารถรู้ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตรัสนั้นเป็นจริง  พระองค์ทรงยืนยันพระดำรัสและพระสัญญาของพระองค์โดยผ่านการคืนพระชนม์ เราไม่ต้องกลัวความตายอีกต่อไป เราไม่ต้องกลัวอนาคตอีกต่อไป เพราะอนาคตของเรามั่นคงอยู่ในอำนาจของพระชนม์ชีพที่ไม่มีวันถูกทำลาย  และเนื่องจากเรารู้ว่าปลายทางของเราเป็นอย่างไร เราจึงมีกำลังเผชิญหน้ากับปัจจุบันและบากบั่นก้าวหน้าต่อไปในเส้นทางแห่งไม้กางเขนได้  เรารู้ว่าความบาปทั้งหมดของเราได้รับการยกโทษแล้วและสวรรค์รอคอยเราอยู่ เรามีชีวิตใหม่ได้ก็เพราะชีวิตใหม่ของพระองค์

เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเลือกเชื่อหรือไม่ก็ได้ แต่เป็นแก่นแท้สำคัญของความเชื่อ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อความชื่นชมยินดีและความมั่นใจของเราในพระราชกิจอันสมบูรณ์ของพระเยซูคริสต์  การคืนพระชนม์ทำให้เรามีความหวังและความแน่ใจในการเดินตามพระเยซูท่ามกลางคนรอบข้างที่ว่าเราเป็นคนโง่เขลา  หากปราศจากการคืนพระชนม์ของพระเยซู โลกนี้คงไม่มีศาสนาคริสต์ คงไม่มีคริสเตียน จะมีก็แต่เพียงความกลัวและความไม่มั่นใจ

ขอสาธุการแด่พระเจ้าเพราะพระเยซูคริสต์ได้คืนพระชนม์เพื่อเราและเพื่อความชื่นชมยินดีของเรา เพราะพระคริสต์ทรงชนะความตาย เราจึงสามารถพูดเช่นเดียวกับอัครทูตเปาโลว่า “ความตายก็ถูกกลืนเข้าในชัยชนะแล้ว โอ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน?  โอ ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน?” (1 โครินธ์ 15:54-55)  พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ววันนี้ ขอให้เราชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน!

Donation Address

OMF International
10 W. Dry Creek Circle
Littleton, CO 80120

With your check, please include a note indicating support for "Karl & Sun Dahlfred"
You may also give online.